ปัจจุบันการเข้าถึงบริการเสริมความงามของผู้บริโภคในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งกฎหมายปัจจุบันไม่ได้กำหนดให้แพทย์ที่ทำหัตถการในคลินิกเสริมความงามต้องเป็นแพทย์ที่จบเฉพาะทางในสาขาที่แพทยสภารับรอง ทำให้แพทย์จบใหม่ที่เพิ่งได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต ก็สามารถมาให้บริการทำหัตถการในคลินิกเสริมความงามได้ ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามถึงเรื่องมาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการ
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง เเละ CEO โรงพยาบาลบางมดเอสเธติค เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ในส่วนของการผ่าตัดควรจะต้องจบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งหลักสูตรนี้จะเรียนเฉพาะทาง 5 ปี ได้รับการรับรองโดยแพทยสภา ในปัจจุบันอุตสาหกรรมความงามของไทยก็มีศักยภาพสูงมากที่จะก้าวเป็น Aesthetic Hub ในการที่จะเพิ่มจำนวนแพทย์ความงาม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากทำได้จริงก็จะช่วยให้เศรษฐกิจเมืองไทยพัฒนา แต่โดยส่วนตัวมองว่า การเพิ่มแพทย์ความงามด้วยหลักสูตรระยะสั้น อาจเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน จะมีจำนวนแพทย์มากขึ้นก็จริง แต่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานการรักษาที่ควรจะเป็น
นพ.ธนัญชัย กล่าวด้วยว่า ตัวหมอจบศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเรียนทั้งหมด 14 ปี ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเรื่องของศาสตร์ความงาม โดยเฉพาะการทำศัลยกรรมผ่าตัดไม่สามารถทำหลักสูตรระยะสั้น 3 - 6 เดือนจบได้ เพราะว่าความรู้เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก โดยแต่เดิมที รพ.บางมด เปิดทำด้านศัลยกรรมมาเกือบ 40 ปีแล้ว ปัจจุบันขยายเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามภายใต้ชื่อ Bangmod Aesthetic Hospital จึงก็มีแนวคิดที่จะทำสถาบันหรือหลักสูตรที่จะสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ภายใต้ชื่อของ Bangmod Aesthetic Hospital ซึ่งจะใช้เวลาเรียนประมาณ 3 - 5 ปี เพื่อให้ได้ศึกษาครอบคลุมครบทุกองค์ความรู้ด้านศัลยกรรมและความงาม เพราะคำว่าผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่แค่ผ่าตัดได้ แต่ว่าเมื่อมีปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นควรที่จะต้องแก้ไขได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถทำได้ในหลักสูตรการเรียนระยะสั้น
“ผมเรียนหมอ 6 ปี ใช้ทุน 3 ปี และเรียนต่อเฉพาะทางอีก 5 ปี รวมทั้งหมด 14 ปี ถึงจะจบเป็นแพทย์เฉพาะทางได้ แพทยสภาก็รับรอง มีวุฒิบัตรแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ประเทศไทยมีอยู่เพียง 400 กว่าคนเท่านั้น ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งหมอว่านี่คือหลักสำคัญ ถ้าเราจะพัฒนาให้จำนวนแพทย์ที่มีประสิทธิภาพให้มากขึ้น มันต้องพัฒนาคนที่เป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่แล้วขึ้นมาก่อน มากกว่าที่จะไปพัฒนาให้แพทย์จบใหม่ด้วยการสอนหลักสูตรสั้น ๆ ซึ่งการที่เราจะทำสถาบันหรือหลักสูตรได้ ก็ต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ และแพทยสภาให้เป็นไปตามมาตรฐานในระดับประเทศ และหลักสูตรดังกล่าวที่เราจะทำมันจะต้องไม่ใช่คอร์สระยะสั้น มันต้องใช้เวลาเรียน 3 - 5 ปี” นพ.ธนัญชัย กล่าว
นพ.ธนัญชัย กล่าวปิดท้ายว่า การผ่าตัดอาจทำได้ง่าย แต่ความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามจริงๆมันต้องมีองค์ประกอบทางด้านความรู้และประสบการณ์ที่ยาวนานพอ เพื่อที่เราจะได้สามารถวิเคราะห์ว่าบุคคลใดควรหรือไม่ควรผ่าตัด การทำศัลยกรรมความงามไม่ใช่ทุกคนควรผ่าตัด และไม่จำเป็นต้องทำเยอะ จากประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งทำให้หมอยิ่งเชื่อมั่นว่าถ้าเราจะทำหลักสูตรเราก็อยากจะพัฒนาให้ยั่งยืนจริง ๆ เป็นหลักสูตรระยะยาว เพื่อให้จบมาแล้วได้คุณภาพและปลอดภัยสำหรับคนไข้